Видео

ต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดฯให้บูรณะปฎิสังขรณ์และขยายพุทธวาสและสังฆาวาส ซ่อมแซมพุทธสถานและถาวรวัตถุ ได้แก่ พระวิหารพระพุทธไสยาส สวนมิสกวัน สถาปนาพระมหาเจดีย์ ๒ องค์ พระมณฑป ศาลาการเปรียญ และสระจรเข้ รวมทั้ง จารึก วัดโพธิ์ รูปปั้นฤาษีดัดตน โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๗๕ รวมเวลา ๑๖ ปี จึงแล้วเสร็จ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าฯให้เปลี่ยน สร้อยนามพระอารามเป็น วัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร สถานที่สถาปนาพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาล ที่ ๔ ปัจจุบันนี้วัดโพธิ์ถือได้ว่าสรรพวิชา ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมและเป็นแหล่งรวม ให้ชนรุ่นหลังเรียนความรู้ด้านต่าง ๆ อาทิ ด้าน ศิลปะ ศาสนา การแพทย์ วรรณกรรม ศาสนาได้ศึกษา และเป็นที่รวมจิตใจของบุคคลทุกเชื้อชาติ

ภาพจิตรกรรม จารึกวัดโพธิ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ครั้งใหญ่ นับแต่ พ.ศ. ๒๓๗๕ โดยครั้งนั้น ทรงโปรดฯ ให้เหล่าบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิต ตรวจสอบชำระตำราสรรพวิทยาความรู้ต่าง ๆ รวม ๘ หมวดวิชา ได้แก่ ประวัติการ สร้างวัด พุทธศาสนา ตำรายา วรรณคดี สุภาษิต ทำเนียบสงฆ์ ประเพณี และอนามัย คือ โคลงฤาษีดัดตน ๘๐ บท โดยจารึกลงแผ่นศิลาจำนวน ๑,๓๖๐ แผ่นประดับไว้ตามอาคาร และสิ่งก่อสร้างภายในพระอาราม เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ระเบียบคด และศาลารายต่าง ๆ เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้า จึงมีคำกล่าวว่า วัดพระเชตุพน คือ มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเมืองไทย ดังนั้นคณะกรรมการแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่าด้วยแผนงาน ความทรงจำแห่งโลกของยูเนสโก จึงมีมติรับรองจารึกวัดพระเชตุพน ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำของโลก ในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ และในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ องค์การยูเนสโกได้มีมติรับรองให้จารึก วัดพระเชตุพน ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกแห่งความทรงจำแห่งโลกในระดับ นานาชาติตามที่ประเทศไทยได้เสนอไปในเดือนมกราคม

รุกรันฟันฝ่าในธาราสีคราม สมเป็นดังนามราชนาวีไทย รบรันฟันฟาดไม่ขลาดหวั่นไหว มีศึกมาใกล้ไม่หวั่นครั้นคร้ามริปู เราเราชนาวิกโยธินของไทย เรารวมกายใจกันไว้เชิดชู เป็นแนวปราการรุกรานรบผลาญต่อต้านพร้อมพรู เข้าฟาดฟันรบรันศัตรูขอสู้ขาดใจ เมื่อเราเข้าประจัญจะผลาญให้สิ้นไป ยอมพลีชีพเพื่อชาติไทย รีบรุกบุกเข้าตีไม่หนีสู้เพื่อชัย กายใจชีวิตมอบเป็นราชพลี เราราชนาวิกโยธินของไทย ชีวิตมลายคงไว้ศักดิ์ศรี วิญญาณยืนยงคู่ธงนาวี ดำรงเสรีศัตรูหลีกลี้หนีไป แม้ชีวาเราจำต้องสิ้นสูญลง แหลมทองยังคงเป็นขวัญคู่ไทย นย.เกรียงไกรไว้ลายแม้ตายชื่อไม่สูญไป ปกป้องไทยทั้งกายและใจขอไทยอยู่คง มาร์ชราชนาวิกโยธิน ทำนอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน เนื้อร้อง กรมนาวิกโยธิน

ทหารเรือเชื้อไทยใจองอาจ ยอมพลีกายหมายมาดป้องชาติไทย ผลองเกียรติกล้าหาญการวินัย มิยอมให้ใครบุกมาย่ำยี ทหารเรือเชื้อไทยใจแกล้วกล้า เอานาวาเป็นบ้านต่อต้านไพรี จะขอเทิดธงไว้ใจภักดี อุทิศชีพยอมพลีเพื่อชาติไทย เราเกิดมาจะต้องไว้ลายชาติชายทุกคน ยอมสละชีพตนดังวีรชนเลื่องลือยิ่งใหญ่ หน้าที่ทหารเรือก็คือพิทักษ์น่านน้ำไทย เพื่อให้ไทยคงเป็นไทยชาติเชื้อไทยอยู่ยงคงดี ทหารเรือทุกคนจงพร้อมใจ นำเรือเรือรบแล่นไปป้องปัถพี จงสมเกียรติทหารชาญนาวี ถนอมชาติให้ดีมีสุขเอย หน้าที่ทหารเรือ ทำรอง สมยศ ทัศนพันธ์ เนื้อร้อง สมยศ ทัศนพันธ์

วันเสาร์ อาหารคาว : ประเภทของขม ของดำ มะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลา หวาน น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำ ถวายวัด ไหว้พระ : ปางนาคปรก (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 10 (สวดแบบย่อ โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ ) สวด 10 จบ ทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคประสาท พฤติกรรม : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำ ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่าหมักมม (ของใส่บาตร และบทสวดมนต์ตามวันเกิด วันเสาร์ ที่ 29 ไหว้พระ : ปางนาคปรก (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ 10 ) 2. สีของธูป ตามที่ขายกันอยู่ทั่วไป เรามักเห็นธูปมีสีเดียวแต่หากถือเคล็ดตามโหราศาสตร์แล้วก็ การใช้สีเดียวกันไหว้ ทุกอย่างเป็นสิ่งไม่ดี เช่น การบูชาราหู ทุกอย่างควรเป็นสีดำเท่านั้น หรือการไปงานมงคลสมรสของชาวจีน ทุกอย่างควรเป็นสีแดง ดังนั้น ธูปก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้ เพื่อให้ถูกต้องตามจารีต ประเพณีต้องทำความเข้าใจว่า ควรเลือกสีธูปให้เหมาะกับกิจต่าง ๆ ดังนี้ • ธูปสีดำ ใช้บูชาเฉพาะราหูเท่านั้น หรือในงานศพก็นับว่าใช้ได้ หรือใช้กับเทพบางองค์ที่นับว่าชงเข้ากับสีดำ ในกรณี ดวงตก มีเคราะห์ ก็ให้บูชาราหูด้วยธูปดำเพื่อลดหย่อนผ่อนโทษ • ธูปสีแดง ใช้ในงานมงคลสมรสของชาวจีนเท่านั้นจะไม่ใช้ในงานอื่น ๆ นอกจากเทพบางองค์ที่ชงกับสีแดงจริง ๆ ที่จะสามารถเลือกใช้ได้ตามวาระ แนวคิดที่สาม " จำนวนธูปตามประเภทสิ่งศักดิ์สิทธิ์" เช่น คนตายไหว้เพียง 1 ดอก (แทนคน ๆ นั้น) แต่หากเป็นพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตแล้ว จะใช้ธูป 7 ดอก ด้วยถือเคล็ดว่า สำหรับ พระมหากษัตริย์จะใช้เลข 7 เท่านั้น เช่น ฉัตรก็ใช้ 7 ชั้น เป็นต้น นอกจากนี้ ทางพราหมณ์อาจกำหนดให้ใช้จำนวนธูปในการไหว้เทพแต่ละองค์แตกต่างกัน ซึ่งก็ควรไหว้ตามนั้นเพื่อให้ถูกจารีตประเพณี ทั้งนี้ สามารถผสมผสานเลือกใช้แนวคิดทั้งสามในการเลือกจำนวนธูปได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่ถือว่าผิด เพราะถือหลักอะไรก็ได้ เป็นเพียงประเพณีเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องแก่นสารธรรมที่จะมาบอกว่าถูกหรือผิดแต่ประการใด